การที่เราคิดจะเริ่มส่งของไปต่างประเทศ ก็ต้องมีการเตรียมตัวที่ดีครับ ต้องคิดให้รอบคอบว่าต้องมีข้อมูลอะไรบ้างในการส่งของครั้งหนึ่ง ทั้งหมดนี้ยังรวมถึงการส่งแบบไหนที่ใช่สำหรับสินค้าของเรา วันนี้เรามีสาระมาฝากกันครับ
1. Air courier (door-to-door)
เป็นการส่งสินค้าทางเครื่องบินที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เพราะเหมาะกับคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นของขวัญ ของใช้แล้ว หรือสินค้าตัวอย่างก็สามารถส่งได้ แต่ก็ไม่ได้เหมาะสำหรับการส่งเป็นสินค้าขนาดใหญ่มาก ๆ หรือน้ำหนักเป็นตัน ๆ
อย่างไรก็ตามก็เป็นทางเลือกที่ดีเพราะเป็นบริการที่คนทั่วไปเข้าถึงได้มากที่สุด บริการตั้งแต่เข้ารับสินค้าถึงมือคุณ และไปส่งถึงหน้าบ้านเลย อีกทั้งยังรวดเร็วอีกด้วย
2. Air freight (port-to-port)
เป็นการส่งสินค้าทางเครื่องบิน แต่เป็นบริการที่ไม่ครบวงจร คือสินค้าจะถูกขนส่งจากสนามบินหนึ่งไปยังอีกสนามบินหนึ่งเท่านั้น โดยการส่งสินค้าแบบนี้ต้องไปเดินเรื่องพิธีการศุลกากรเพื่อนำเข้าหรือส่งออกเอง และต้องใช้บริการขนส่งอื่นรับไม้ต่อ เพื่อนำสินค้าไปส่งที่ปลายทาง ผู้ส่งเองสามารถเลือกว่าจะส่งเที่ยวบินไหน มีระยะเวลาการส่งที่รวดเร็ดที่สุด แต่ราคาก็สูงเช่นกัน เหมาะสำหรับการส่งสินค้ามีน้ำหนักมาก, สินค้าต้องใช้ด่วนหรือมีอายุไม่มากและต้องควบคุมอุณหภูมิ เช่น กล้วยไม้ ของสด ผลไม้ที่เสียเร็ว เป็นต้น
3. Sea freight (port-to-port)
การส่งของไปต่างประเทศทางเรือนั้น เป็นการขนส่งระหว่างประเทศที่ถูกที่สุด เพราะสามารถส่งได้เยอะ เป็นตู้คอนเทนเนอร์ จะเหมาะสมกับคนที่ทำธุรกิจ ซื้อขายในจำนวนมาก น้ำหนักมาก แต่จะใช้เวลาขนส่งช้ามาก ช้าที่สุดเพราะต้องข้ามน้ำข้ามทะเล และเป็นการขนส่งแบบไม่ครบวงจร ต้องเสียค่าใช้จ่ายค่าเดินพิธีการศุลกากรเพื่อนำของออกจากท่าเรือ แต่รวม ๆ แล้วถ้าของจำนวนมากจริง ๆ การส่งสินค้าทางเรือก็จะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าของคุณได้มาก
ทีเดียว
4. Truck (door-to-door)
การใช้รถขนส่งนั้นเหมาะสำหรับที่จะส่งไปประเทศเพื่อนบ้านของเรา หรือภายในประเทศ โดยหากใช้รถขนส่งไปต่างประเทศก็ยังต้องมีการเคลียพิธีการกับศุลกากรอยู่นะครับ แต่แล้วแต่ว่าผู้ให้บริการจะคิดราคาค่าพิธีการเหมารวมหรือคิดแยกการใช้รถส่งของอาจจะตอบโจทย์หลายคน เพราะราคาไม่แพงมาก ความเร็วในการส่งปานกลาง รับถึงบ้านแล้วส่งถึงหน้าบ้านอีกด้วย
5. Rail (port-to-port)
การส่งทางรถไฟจะถูกกำหนดตามโครงสร้างของรางรถไฟที่สร้างไว้ โดยการขนส่งด้วยรถไฟจะมีข้อจำกัดจากโครงสร้างซึ่งทำให้การส่งของทางรถไฟไม่ยืดหยุ่นสักเท่าไหร่ เนื่องจากสถานีรถไฟมีจำกัด บางครั้งจึงต้องให้การขนส่งแบบอื่นมารับไม้ต่อ เช่นรถบรรทุกหรือรถหัวลาก เพื่อทำให้ถึงที่หมายที่ต้องการ แต่ข้อดีนั้นก็มีครับคือสามารถส่งของได้ในจำนวนทีละมาก ๆ หรือน้ำหนักมาก ๆ ซึ่งมากกว่ารถขนส่งเนื่องจากมาความแข็งแรงมากกว่า ความเร็วอยู่ในระดับปานกลางและปลอดภัย
เมื่อรู้แบบนี้แล้วการจะเลือกว่าจะส่งสินค้าไปทางไหน ก็ไม่ยากอีกต่อไปครับ
Comments